ชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมที่สำคัญของโลก เราผลิตและส่งสินค้าเกษตรออกเป็นอันดับ 1 ของโลกหลายประการ จนนานาชาติยกย่องให้ประเทศไทยเป็นห้องครัวของโลก ประชากรของประเทศร้อยละ 60 มีอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นอาชีพที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยเฉพาะในยุคที่ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ ได้ข้อสรุปว่า ประเทศไทยต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของการเกษตร แต่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่การเกษตรของไทยนั้น เป็นการเกษตรที่เต็มไปด้วยปัญหา เนื่องจากมีการใช้ยาและสารเคมีเป็นจำนวนมหาศาลในการผลิตทุกชนิด ซึ่งเป็นการทำลายสภาพแวดล้อม ทั้งดิน น้ำ อากาศ อย่างมาก และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่อย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคได้บริโภคอาหารหรือผลิตผลทางการเกษตร ที่มีความปลอดภัยน้อยลง แต่เป็นพิษภัยมากขึ้นทุกขณะ พร้อมทั้งสร้างและสะสมปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม ต่อผู้บริโภค และต่อผู้ผลิต ที่สำคัญก็คือ การเกษตรของไทยลดความสามารถในการพึ่งพาตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องพึ่งปุ๋ย ยา และสารเคมีจากต่างประเทศมากขึ้นทุกๆปี ทำให้เงินตราไหลออกจากประเทศไทยเป็นจำนวนมหาศาลมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

นายเริงจิตร์ มีลาภสม ผู้อำนายการวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี และทำหน้าที่ผู้อำนวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 กล่าวต่อไปว่า สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้จัดทำโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเป็นการสนองแนวพระราชดำริ เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เสริมสร้างคุณภาพชีวิตและความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลในสังคมเมืองและชนบท สนับสนุนและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นยังเป็นการให้อาจารย์และนักศึกษา ได้สาธิต ทดลอง คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ในด้านชีวภาพและสิ่งแวดล้อมอันจะก่อประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป

วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จึงได้นำเอาจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ (อีเอ็ม) มาใช้ในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร เช่น การปรับปรุงดินด้วยปุ๋ยหมัก การปลูกพืชผักปลอดสารพิษ การควบคุมคุณภาพของน้ำและการกำจัดกลิ่นเหม็นจากฟาร์มด้วยอีเอ็ม เป็นต้น อาจารย์ชาญณรงค์ วงศ์สุวรรณ หัวหน้าคณะวิชาพืชศาสตร์ และ หัวหน้าโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เปิดเผยว่า การใช้จุลินทรีย์ทางการเกษตรแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ วิธีการประยุกต์ใช้แบบแห้ง คือการขยายเชื่อจุลินทรีย์ อีเอ็มแบบแห้งที่เรียกว่า โบกาฉิ โดยการใช้จุลินทรีย์อีเอ็ม ผสมกับกากน้ำตาลและวัสดุต่างๆทำการขยายเชื้อจุลินทรีย์อีเอ็มแบบแห้งสามารถทำได้หลายรูปแบบดังนี้ การทำโบกาฉิมูลสัตว์ โบกาฉิฟาง ปุ๋ยคอกหมัก ปุ๋ยหมักดิน ซุบเปอร์โบกาฉิ อีกวิธีหนึ่งคือวิธีประยุกต์ใช้แบบน้ำ วิธีการทำโดยการขยายจุลินทรีย์อีเอ็ม เป็นการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ให้แข็งแรงและเพิ่มจำนวนโดยการให้อาหารประเภทกากน้ำตาลและอื่นๆ โดยมีอัตราส่วนคือ อีเอ็มต่อกากน้ำตาล 1 ต่อ 1 นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ในภาชนะที่มีฝาปิดไม่ให้อากาศเข้า หมักเป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นจึงนำออกมาใช้ วิธีการนำไปใช้ก็ไม่ยุ่งยาก โดยนำเอาจุลินทรีย์อีเอ็มผสมน้ำฉีดพ่น หรือรดต้นไม้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งในอัตราส่วนจุลินทรีย์อีเอ็ม 1 ลิตร ต่อน้ำ 1,000 ลิตร หรือจุลินทรีย์อีเอ็ม 1 ฝาต่อน้ำ 1 บัวรดน้ำ ใช้จุลินทรีย์

กำจัดกลิ่นเหม็นของมูลสุกร ทำเป็นเชื้อหมักขับไร่แมลง ทำเป็นสารสกัดพืชหมัก และทำเป็นฮอร์โมนพืช ผลจากการนำเอาจุลินทรีย์อีเอ็มมาใช้ในขบวนการผลิตพืชตั้งแต่การเตรียมดิน การปลูกพืช การป้องกันกำจัดศัตรู การเร่งให้เจริญเติบโตเร็ว ทำให้ผลผลิตที่ออกมาเป็นที่ต้องการของตลาด เพราะผลผลิตปลอดจากสารเคมีไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช และที่สำคัญการนำเอาจุลินทรีย์อีเอ็มมาใช้ในการเกษตรทำให้ระบบนิเวศน์วิทยาสมบูรณ์ นับเป็นการทำการเกษตรแบบยั่งยืน เกษตรกรผู้ผลิตและผู้บริโภคมีอายุยืนปลอดจากสารเคมี สภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลาย

 

อรัญ สิงห์คำ / อุบลราชธานี