โครงการผลิตพืชปลอดสารพิษ

วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี

ปัจจุบันสังคมได้ตื่นตัวและห่วงใยต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ การเกษตรเคมีเริ่มถูกปฏิเสธ และกีดกันมากขึ้น ทำให้การเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของคนได้รับความสนใจ และจะทวีความสำคัญยิ่งๆขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ หรือการผลิตพืชที่ปลอดสารพิษ ซึ่งนานาชาติต่างให้การยอมรับ เป็นการเกษตรที่ดีที่สุดต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ประเทศไทยก็ได้มีการริเริ่ม และทำการเกษตรอินทรีย์ ที่มีกระบวนการผลิตที่ปลอดจากสารเคมี ปุ๋ยเคมี ในจังหวัดอุบลราชธานีเริ่มขึ้นเมื่อปี 2540 โดยโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ป่าดงนาทามอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งมี พ.อ. พิเชษฐ์ วิสัยจร ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6 และหัวหน้าโครงการ ในสมัยนั้น และปัจจุบันคือโครงการพิเศษกรมทหารราบที่ 6 โดยมี พ.อ. สุรนาท สุวรรณนาคร ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 6 และหัวหน้าโครงการพิเศษ หนึ่งในกิจกรรมของโครงการคือ ส่งเสริมให้เกษตรใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการเพิ่มผลผลิต การใช้พืชสมุนไพรในการกำจัดศัตรูพืช หกปีของการดำเนินงานตามโครงการมีเกษตรกรและประชาชนที่สนใจเข้ารับการอบรมและนำแนวทางการทำการเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียงดังกล่าวไปปฏิบัติและเกิดผลดีนับเป็นแสนครอบครัวทั่วประเทศ

ปี 2546 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จับมือกับสถาบันการอาชีวศึกษา จัดทำโครงการชีววิถีเกษตรแบบยั่งยืน โดยมอบหมายให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีทั่วประเทศนำเอากิจกรรม การใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มาใช้ในการเพิ่มผลผลิต เช่น การทำปุ๋ยหมักอีเอ็ม การทำฮอร์โมนผลไม้และยอดพืช การทำปุ๋ยน้ำอีเอ็ม การนำเอาพืชสมุนไพรมาผสมกับจุลินทรีย์อีเอ็มเพื่อใช้ในการกำจัดศัตรูพืช วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 ซึ่งมีนายเริงจิตร์ มีลาภสม เป็นผู้อำนวยการ ก็ได้มีการนำเอาจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มาใช้ในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยการบูรณาการกิจกรรมเข้ากับกระบวนการเรียนการสอนในรายวิชาที่เกี่ยวข้อง เช่น วิชาการเกษตรแบบผสมผสาน มีการให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติการทำปุ๋ยน้ำจุลินทรีย์อีเอ็ม การทำปุ๋ยแห้ง หรือทีเรียกว่า โบกาฉิ การขยายจุลินทีรย์อีเอ็ม เพื่อใช้เร่งการเจริญเติบโตของพืชผักแทนการใช้ปุ๋ยเคมี และอีกหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญคือการทำสารไล่แมลงจากพืชสมุนไพรโดยมีส่วนผสมของจุลินทรีย์อีเอ็ม

นายชาญชัย วงศ์หอม หัวหน้าโครงการอาชีวศึกษาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี หนึ่งในทีมงานโครงการชีววิถีเกษตรแบบยั่งยืน เปิดเผยถึงวิธีการทำสารไล่หอยและเพลี้ยไฟ ว่า ให้นำเอายอดยูคาลิปตัสจำนวน 2 กิโลกรัม ยอดสะเดา 20 ยอด ข่าแก่ 2 กิโลกรัม และ บอระเพ็ด

2 กิโลกรัม แต่ละอย่างแยกกันใส่ปิ๊บ ใส่น้ำให้เต็มต้มให้น้ำเหลืออย่างละครึ่งปิ๊บ ทิ้งไว้ให้เย็น นำมาเทรวมกันในถังใหญ่หรือโอ่ง ใส่จุลินทรีย์ อีเอ็ม 1 แก้ว กากน้ำตาล 1 แก้ว ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ 3-5 วัน เวลาจะนำไปใช้เพื่อป้องกันและกำจัดหอยและเพลี้ยไฟ ใช้ในอัตรา ครึ่งแก้วต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีด พ่นรด ในแปลงพืชผัก และในนาข้าว จะเห็นว่ากระบวนการผลิตพืชให้ปลอดสารพิษไม่ยุ่งยาก และที่สำคัญมีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรผู้ผลิต ตลอดจนผู้บริโภค เมือรัฐบาลประกาศว่าประเทศไทยจะเป็นครัวโลก สินค้าของเราจะต้องปลอดจากสารพิษ

อรัญ สิงห์คำ